เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ มี.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเรามันมีความจำเป็นทุกๆ คน ถ้าความจำเป็นของคนแต่ละความจำเป็นนะ ความจำเป็นของคนไม่เหมือนกัน คนเราเกิดมามีกรรมไม่เหมือนกัน ทีนี้ความจำเป็นมันก็ต้องค่อยๆ แก้ไขกันไป ความจำเป็นของเด็ก ความจำเป็นของผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่มีความจำเป็น มันบีบรัดขึ้นมา เห็นไหม นั่นน่ะกระแสของกรรม จะรู้เรื่องนี้หรือไม่รู้เรื่องนี้มันเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติของมัน แต่เพราะมีธรรมะขึ้นมา ธรรมะมาถึงเรื่องของชีวิตไง ธรรมะจะตอบปัญหาชีวิตได้ทั้งหมด ปัญหาชีวิตนี่เกิดขึ้นมาเพราะเหตุไร เพราะว่าเรื่องการกระทำของกรรม

แล้วถ้ากรรมล่ะ กรรมมันเป็นเรื่องของอดีตอนาคต เรื่องอดีต เห็นไหม อดีตคือสิ่งที่ทำมาแล้ว มันเป็นกรรมมา สิ่งที่สะสมมานะ กรรมให้ผลมาเป็นสิ่งนี้ ให้สิ่งนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมา แล้วให้ผลมากกว่านี้ก็ได้ ทำคุณงามความดีมากกว่านี้ก็ได้ ทำคุณงามความดีอย่างที่ว่าทำให้เป็นอกุศล คือว่าทำให้ลำบากกว่านี้ก็ได้ เพราะว่าเรายังไม่รู้ว่าเราทำกรรมไว้มากมายขนาดไหน นั่นน่ะความจำเป็นของแต่ละบุคคล

ศาสนามาแจกแจงเรื่องอย่างนี้ เรื่องนี้เราทำความเข้าใจของเรา คนเราถ้าประพฤติปฏิบัติ ไม่เข้าใจก็ลังเลสงสัย จะลังเลสงสัยแล้วอยากรู้แต่เรื่องนี้ เรื่องกรรม เรื่องนรกสวรรค์ เรื่องความเห็นต่างๆ เรื่องอดีตอนาคตนี่ อยากจะรู้มาก อยากจะเห็นสิ่งนี้ อยากจะรู้มาก แต่พอประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้ว สิ่งนี้จะกลับเงียบงันเลยนะ เงียบงันเพราะอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ลึกลับมหัศจรรย์ คนจะไปรู้จริงเห็นจริงจะไม่ค่อยพูดเรื่องอย่างนี้ เพราะเรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องที่ว่ามันเป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจัง มันไม่เข้าที่ว่าเราพูดแล้วมันจะเป็นไปตามเราพูดหรือไม่เป็นไปตามเราพูดมันอีกปัญหาหนึ่ง

อีกประเด็นหนึ่งคือว่าประเด็นมันเป็นประเด็นที่ว่ามันเป็นอนิจจังหนึ่ง

สอง...มันเป็นสิ่งที่ลึกลับมหัศจรรย์หนึ่ง

สาม...มันเป็นสิ่งที่ว่าไม่ใช่การชำระกิเลสหนึ่ง

มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ชำระกิเลสแล้วทำให้มันติดด้วย ถ้าเราไปติดสิ่งนั้น มันไปรู้ไปเห็นเข้านี่มันติด ติดเพราะอะไร เพราะผู้วิเศษกับพระอริยเจ้าคนละส่วนกัน ผู้วิเศษนะมันวิเศษสุด วิเศษขนาดไหนมันอยู่ใต้กฎของอนิจจัง รู้วาระสิ่งต่างๆ รู้ความเห็นเป็นต่างๆ แล้วมันก็เป็นกฎของอนิจจัง

ผู้วิเศษ วิเศษแล้วมันก็ตกอยู่ในสูงขึ้นต่ำลงอยู่ตามธรรมชาติของมัน แล้วนี่เป็นความจำเป็นของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นรู้อย่างนั้นแล้วสะสมอย่างนั้นไว้ แล้วก็ดิ้นรนไปอย่างนั้น มันจะมีความทุกข์ร้อนอยู่อย่างนั้น มันจะมีความทุกข์ร้อนอยู่ในหัวใจ หัวใจมันจะทุกข์ร้อน ความจำเป็นของหัวใจ เห็นไหม ความจำเป็นของเด็ก เด็กมันต้องกินต้องอาศัยสภาวะอย่างนั้นตลอดไป นี่จำเป็นขนาดนั้น ผู้ใหญ่ขึ้นมาต้องการสิ่งที่ว่าสวยๆ งามๆ ตามความพอใจของกิเลสมันเริ่มสะสมขึ้นมา ผู้ที่ว่ามีอายุแก่ขึ้นมา อยากรู้ว่าชีวิตนี้เป็นอย่างไร กรรมมันเป็นอย่างไร ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติก็รู้อีกอย่างว่าความเป็นไปของจิตมันเป็นอย่างไร นี่ความเป็นไปของจิต

ผู้วิเศษต่างๆ เห็นไหม เป็นผู้วิเศษ ความจำเป็นนี่มันเป็นความจำเป็นเพราะกิเลสบังคับ ความจำเป็นอันนี้มันโดนบังคับไว้ด้วยกิเลส ด้วยความรู้ภายในของเรา มันบีบบังคับเราให้เราไม่รู้ตามความเป็นจริง ถ้ารู้ตามความเป็นจริง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกาะเกี่ยว สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ติดพัน สิ่งที่ติดพัน เราจะวางสิ่งนี้ไว้โดยที่ไม่รับรู้มัน จะวางสิ่งนี้ไว้ด้วยการเข้าหาอริยสัจก่อน ถ้าเข้าหาอริยสัจ ความจำเป็น เห็นไหม นี่มันเป็นความจำเป็นอีกส่วนหนึ่ง ความจำเป็นของเราคือการแสวงหาความรู้สึกจากภายใน ให้ย้อนกลับเข้ามาหาดูภายใน แล้วเลาะสิ่งนี้ เลาะความจำเป็น

สิ่งนี้ ความจำเป็น ความจำเป็นของโลกมันก็เป็นความจำเป็นของโลกที่บีบคั้นไป แต่ความจำเป็นของอริยสัจนะ ความจริง คนเราเกิดมามันต้องตายทุกคน เวลาถึงที่สุดแล้วมันต้องตาย ต้องพลัดพรากจากชีวิตนี้ ชีวิตนี้พลัดพรากไป พลัดพรากจากภพของมนุษย์นะ แต่จิตวิญญาณตัวนี้มันไม่เคยตาย มันก็ไปเกิดสถานะใหม่ มันก็เป็นไปตามสถานะของมัน มันพลัดพรากไปจากไหน

มันไม่พลัดพรากไปหรอก พลัดพรากแต่ว่าความหลอกลวงเท่านั้นเอง สิ่งนี้หลอกลวง มันเป็นสมมุติ ชีวิตนี้เป็นสมมุติชั่วครั้งชั่วคราว อายุกาลหนึ่ง อายุกาลหนึ่งก็เป็นอายุกาลหนึ่ง แล้วก็เวียนตายเวียนเกิดไปในวัฏวน นั่นน่ะความจำเป็นอันนี้สำคัญกว่า

ถ้าเราเห็นความจำเป็นอันนี้ เราถึงพยายาม เราจะประพฤติปฏิบัติได้ เราจะมีเวลาของการประพฤติปฏิบัติ เพราะการประพฤติปฏิบัติมันจะให้เราพ้นออกไปจากกิเลสได้ พ้นจากความยึดมั่นถือมั่นของใจ พ้นจากสิ่งที่ว่ามันบีบคั้นไป ความจำเป็นอย่างนี้มันเลาะใจไปนะ มันกดถ่วงใจ แล้วใจจะไม่เป็นอิสรภาพมันเลย มันจะโดนสิ่งนี้กดถ่วงไปแล้วมีความทุกข์ร้อนตลอดไป

ความจำเป็นอันที่ว่าเราต้องตายไปจากโลกนี้ อันนี้เป็นความจำเป็นมากกว่า แล้วจะแก้ไขสิ่งนี้มันจะเอาอะไรมาแก้ไข? ก็เอาหัวใจ เอาสิ่งที่มันจะต้องตาย เอาหัวใจมาแก้ไข เอาความรู้สึกนี่มาแก้ไข แต่ความรู้สึกจะแก้ไขได้มันต้องเห็นโทษของมันก่อน เห็นโทษจากความจำเป็นจากภายนอก มันบีบคั้นขึ้นมา ทุกอย่างก็มีความจำเป็นหมด เราก็ต้องทำสภาวะไป พออะไรเป็นเครื่องล่อขึ้นมา อย่างนี้ก็จำเป็น อย่างนี้ก็จำเป็น แต่เวลาบวชแล้ว เห็นไหม บริขาร ๘ เท่านั้น สิ่งที่มีบริขาร ๘ ดำรงชีวิตได้แล้ว เช้าขึ้นมามีบาตรใบหนึ่งภิกขาจาร บิณฑบาตมาฉันขึ้นไป นี่มันตัดภาระรุงรังออกไปขนาดไหน

ความจำเป็นของโลก เห็นไหม เครื่องเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในโลกนี้มีมหาศาลเลย แล้วก็พะรุงพะรังกันไปมหาศาล แต่เวลาเป็นพระขึ้นมา พระตัดขึ้นมา พระมีชีวิตไหม พระก็เหมือนเรา พระก็มีชีวิตเหมือนเรา พระต้องใช้ชีวิตเหมือนเรา ทำไมพระมีบริขาร ๘ ดำรงชีวิตได้ล่ะ

นั่นน่ะความจำเป็นเขานะ เข็ม ด้าย เห็นไหม เข็มกับด้ายปะชุนผ้าไปเท่านั้นเอง แต่ของเรา เราต้องหาซื้อของเราใหม่ เสื้อผ้าของเรานี่หาซื้อกี่ชุดก็แล้วแต่ มันต้องมีว่าเผื่อนั้นๆ แต่ของเวลาพระเรา เวลาขาดขึ้นมา เราปะเราชุนของเราเองด้วยเข็มเย็บผ้า ด้วยเข็มด้วยด้าย นั่นเป็นบริขาร ๘ สิ่งนี้ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย สิ่งนี้ซ่อมแซมไป

ในครอบครัวที่เจริญ เห็นไหม สิ่งใดที่มันเป็นเครื่องซ่อมแซมได้ แล้วรักษาสิ่งนั้นได้ สิ่งนั้นจะครอบครัวที่เจริญ ครอบครัวที่ว่าสิ่งใดมันเสียหายแล้วเราไม่ซ่อมแซม ทิ้งสุรุ่ยสุร่ายไป ครอบครัวนั้นไม่เจริญ นี่ชีวิตพระก็เหมือนกัน ซ่อมแซมในบริขาร ๘ เท่านั้น บริขาร ๘ ในอะไร? ในผ้า ๓ ผืน ผ้า ๓ ผืนอยู่ในธุดงควัตรแล้ว นี่ย้อนกลับเข้ามา ความจำเป็นมันก็จะปล่อยร่นเข้ามา ปล่อยร่นจากความจำเป็นที่ว่าเราจะต้องติดไปหมดเลย

ทิ้ง...เราไม่ทำก็มีคนอื่นทำ เรื่องงานของโลกแล้วนะ มันไม่มีทางที่ทำให้จบสิ้นแล้วเราจะตายไป ไม่มีทาง เราทำจนตายไปแล้วเกิดมาใหม่ งานก็มีอยู่อย่างนั้น เพราะว่าคนเราเกิดมามีปากมีท้อง เครื่องอยู่อาศัย ต้องทำมาหากินนี่มันเป็นธรรมชาติของมัน อันนี้เป็นความจำเป็นบีบบังคับ

แต่ถ้าเวลาเราละเพศอย่างนั้นขึ้นมา เป็นนักบวชขึ้นมา ความจำเป็นก็มีชีวิตอยู่เหมือนกัน บิณฑบาตขึ้นมาฉันมื้อเดียว ฉันหนเดียว เพื่อเอาเวลามารักษาความจำเป็นจากภายใน ความจำเป็นคือว่าทุกคนต้องตาย นี่จำเป็น เวลามันจะตายขึ้นมา ไม่มีเวลาที่จะต้อง...ผัดผ่อนไม่ได้เลย คนเราจะผัดผ่อนนะ ขอให้เมื่อนั้นค่อยตาย ขอให้เมื่อนั้นค่อยตาย มันผัดผ่อนไม่ได้ มันต้องตายไป แล้วตายไปจะมีคุณสมบัติอะไรติดตัวไป? คุณสมบัติของใจ ถ้าคุณสมบัติของใจมันจะเห็นเรื่องศาสนา

จะมีศาสนาไม่มีศาสนาคนเราก็เกิดอย่างนี้ตายอย่างนี้ตลอดไป เพราะศาสนานี่มีเป็นครั้งเป็นคราว พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมถึงจะเป็นให้เราก้าวดำเนินตามธรรมนั้นได้ ถ้าธรรมไม่มีเราก็ทุกข์ยากไป คนแสวงหา ถ้าแสวงหาได้คุณงามความดีมากก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมด้วยตนเอง แต่ผู้แสวงหาด้วยอย่างนั้นนะ ขณะที่ไม่มีศาสนาจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ถ้ามีศาสนาอยู่ ผู้ที่จะรู้ธรรมขึ้นมาก็เป็นสาวกะสาวกรู้ธรรมขึ้นมา สาวกรู้ธรรมขึ้นมามันมีแผนที่ มีเครื่องดำเนิน พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่มีเครื่องดำเนินก็ต้องแสวงหาออกไป พยายามแสวงหาของตัวเองออกไป เพื่อพ้นจากนี่

สัจจะความจริงอันนี้ ความจริงอันนี้มันมีอยู่ จะมีธรรมไม่มีธรรมมันก็มีอยู่อย่างนี้ แต่ถ้ามีธรรม มันบรรยายได้เลย เห็นไหม บรรยายถึงเรื่องความทุกข์ของเรานี่ ทุกข์ไหม? ทุกข์ ถ้าเราทุกข์ขึ้นมา เราแสวงหาอย่างไร? มันมีแผนที่ มีเครื่องดำเนิน แต่นอนใจไง ไปเห็นความจำเป็นอย่างอื่นมีความจำเป็นมากกว่า บีบคั้นเราให้เราต้องใช้ชีวิตอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้น นั่นน่ะ ดึงเวลาของเราไป แต่ถ้าเราสละออกไปขึ้นมา สละได้ สละออกมาเป็นชีเป็นพราหมณ์ก่อน สละออกไป ถึงเวลาแล้วบวชเลยนะ บวชขึ้นมานี่ประกาศเลยว่าเป็นนักรบ

ผู้ที่บวชแล้วเป็นนักรบ รบกับอะไร? รบกับตนเอง รบกับกิเลสของตนเอง รบกับความรู้สึกจากภายในของตัวเอง ความรู้สึกจากภายในมันต่อต้าน มันต้องการความสะดวกสบายของมันโดยธรรมชาติของมัน ชีวิตโลกเขานี่เป็นชีวิตสาธารณะ ทุกอย่างหาได้ เรื่องของโลกเราก็หาได้ ทำไมเราจะออกไปหากับเขาไม่ได้ นั่นน่ะเราสละ เราเป็นนักรบ เพศของพระนี่บอกเลยว่าเพศของพระไม่ต้องการสิ่งที่เป็นสาธารณะทางโลกเขา ต้องการในธรรมวินัยเท่านั้น ธรรมวินัยบีบบังคับขึ้นมาให้ย้อนกลับเข้ามาจากภายใน ธรรมวินัยบีบบังคับเข้ามาให้ย้อนกลับมาเรื่องของสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน

ถ้าเรื่องของการประพฤติปฏิบัติ เรื่องของการจะพ้นจากกิเลส ความจำเป็นที่เครื่องมือจะเข้าไปชำระความจำเป็นของชีวิตการเกิดและการตาย มันต้องเห็นมีสมถกรรมฐาน ความสงบของใจ ถ้าใจสงบขึ้นมา มันจะเห็นว่าความสุขนี่ มันจะมีความสุขขึ้นมาในชั้นตอนหนึ่ง

ความสุขของใจจะปล่อยวางขึ้นมา มันจะแปลกประหลาดมหัศจรรย์ว่าสิ่งนี้พระพุทธเจ้าวางไว้แล้ว แต่เป็นทฤษฎีเท่านั้น เป็นแผนที่เท่านั้น ไม่มีใครเคยเห็น เราทำความสงบของใจขึ้นมา เราได้เห็นสิ่งนี้ เราได้สัมผัสสิ่งนี้ สิ่งนี้มีความสุขมาก ความสุขในความสงบของใจ จนสามารถทำให้ติดได้ ผู้ที่ปล่อยวางเวิ้งว้างขนาดไหนมันจะติดสิ่งนั้น นี่สมถกรรมฐาน

ถ้ามีสมถกรรมฐาน มันจะยกขึ้นวิปัสสนากรรมฐานขึ้นมาได้ วิปัสสนากรรมฐานคือว่าต้องมีจิต เห็นไหม เราเอาอะไรไปวิปัสสนากรรมฐาน? ต้องมีจิตไปรับรู้ มีความรู้สึกไปรับรู้ต่างๆ รับรู้ในอะไร? รับรู้ในสติปัฏฐาน ๔

ในสติปัฏฐาน ๔ สงครามที่เกิดขึ้นนะ จรวดยิงออกไปจากฐานทั้งนั้นเลย ความคิดนี่ยิงออกไปจากใจทั้งนั้นเลย ความคิดนี่ออกไปจากใจ ทีนี้ใจสงบเข้ามามันก็ย้อนกลับมาที่ดวงใจ ย้อนกลับไปที่สิ่งที่มันขับเคลื่อนออกมา สิ่งที่มันขับเคลื่อนความรู้สึกออกไป นี่ความทุกข์เกิดจากตรงนี้ เกิดจากความขับเคลื่อนของใจ ใจมันผลักดันออกไปแล้วมันไม่รู้สิ่งต่างๆ แล้วมันก็ออกไป ความจำเป็นอันนี้สำคัญที่สุด แต่คนมองไม่เห็น จะมองไม่เห็นถ้าไม่ยกขึ้นวิปัสสนา

ถ้าใครยกขึ้นวิปัสสนา เขาเรียกภาวนาเป็น คนภาวนาเป็นจะเห็นอาการเกิดดับของใจ อาการเกิดดับของใจมันเกิดตรงนี้ มันดับตรงนี้ ความจำเป็นอันนี้ ไฟเกิดจากตรงนี้ ความทุกข์ร้อนเกิดจากตรงนี้ ดับไฟต้องดับที่ตรงนี้ นี่ย้อนกลับเข้ามานะ ย้อนกลับเข้ามาด้วยวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยจิตสงบ เห็นไหม

จิตไม่สงบเลยมันเป็นโลกียะ ทำขนาดไหนมันก็เป็นแผนที่ดำเนิน เอาแผนที่มาวางไว้แล้วก็เถียงกันแบบสุตมยปัญญา เห็นไหม สุตมยปัญญาคือการศึกษาแล้วก็โต้เถียงกันว่าควรจะเป็นอย่างไร ควรจะเป็นอย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตไม่สงบ เราคิดขึ้นมา มันก็เหมือนกับเราโต้แย้งกับเราเอง โต้แย้งกับความรู้สึกของเราเอง โต้แย้งกับกิเลสของเราเอง แล้วกิเลสมันก็แบบว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น มันควรจะเป็นอย่างนั้น...นี่เป็นการที่ว่าด้นเดาธรรม ธรรมะอันนี้เป็นธรรมะด้นเดา มันจะไม่สมความปรารถนาเลย

แต่ถ้ามีจิตสงบขึ้นมา มันไม่เป็นความด้นเดา มันเป็นความเห็นจริง เห็นไหม จิตนี้สงบขึ้นมา ตัวจิตตัวนั้นจะเป็นตัวยกขึ้นวิปัสสนา ถ้าจิตยกขึ้นวิปัสสนา มันมีผลงานของมัน เป็นผู้ทำงานไง งานของเรานี่ แฟ้มไม่ได้อ่าน อยู่ในแฟ้ม ไม่มีใครไปอ่าน แฟ้มก็เป็นแฟ้มอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าใครไปอ่านในแฟ้มนั้น เรื่องในแฟ้มนั้น คนอ่านจะรู้หมดเลย

อันนี้ก็เหมือนกัน คนจะอ่านเรื่องการเกิดการตายในหัวใจ จะแก้ไขการเกิดและการตายในหัวใจ มันต้องมีใครเป็นคนอ่าน? ต้องมีตัวจิตเป็นตัวอ่าน จิตตัวเราตัวรับรู้ ตัวที่รับรู้นี่ ถ้ามันรับรู้ประสาโลก มันเป็นโลกียะ แต่พอมันสงบขึ้นมาปั๊บ ย้อนกลับขึ้นมา มันจะเป็นโลกุตตระ สิ่งที่ โลกุตตระนี่ย้อนกลับเข้าไป ความจำเป็นอันนี้มันเป็นความจำเป็นที่จะทำให้จิตอันนี้พ้นออกไป

จากที่ว่าผู้วิเศษกับพระอริยเจ้านี่ต่างกันต่างกันตรงนี้ไง ต่างกันตรงที่เห็นตามความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริงแล้วจะไม่พูดสิ่งที่เป็นสิ่งที่พร่ำเพรื่อออกไป สิ่งที่พร่ำเพรื่อนั้นมันเป็นเรื่องของวิญญาณ เรื่องของอาการเกิดดับของใจ สิ่งที่เกิดดับของใจมันเข้ากับวัฏวน สิ่งที่วัฏวนวนไปในวัฏฏะ มันก็เป็นไปในวัฏฏะ

แต่การเกิดดับอันนี้ มันเห็นการเกิดดับ แล้วมันเห็นว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องแปรสภาพเป็นธรรมดา” เห็นการเกิดดับแล้วเห็นโทษของการเกิดดับ มันจะปล่อยวางการเกิดดับไว้เป็นสิ่งต่างๆ เห็นไหม “ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์” จะแยกออกจากกัน สิ่งที่แยกออกจากกันขึ้นมา นั่นน่ะการเกิดการตายจะเริ่มจากตรงนี้ นี่ ๗ ชาติเท่านั้นที่จะเห็นการเกิดและการตายอีก แล้วจะถึงที่สุดได้ ความจำเป็นอันนี้สำคัญที่สุด

แล้วเราเจอศาสนา ศาสนาสอนเรื่องการวิปัสสนา เรื่องสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ถ้าไม่มีศาสนาขึ้นมา สมถะมีอยู่แล้ว ความสงบของใจ พระพุทธเจ้าไปเรียนกับอาฬารดาบส นี่ความสงบของใจ เรื่องฌานสมาบัติ มันมีอยู่โดยดั้งเดิม ใครทำได้ขนาดไหน ไม่มีศาสนาเขาก็ทำได้ เขาทำความสงบได้ แต่มันก็วนอยู่ในวัฏฏะ เห็นไหม ฤๅษีชีไพรเกิดเป็นพรหมนี่ เพราะจิตสงบขึ้นมาแล้วเกิดเป็นพรหม

แต่ในตัวศาสนาคือตัวโลกุตตรธรรมอันนี้ ตัวปัญญา ตัววิปัสสนานี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นคว้าเท่านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารู้สิ่งนี้ขึ้นมา แล้ววางสิ่งนี้ไว้ให้เราก้าวเดินตาม ถ้าเราก้าวเดินตาม เราจะสมความปรารถนาของเราสิ่งนี้ แล้วสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา นั่นน่ะ ความจำเป็นอันนี้เป็นความจำเป็นสูงสุด แล้วเราจะค้นคว้าได้ในหัวใจของเรา เอวัง